Skip links

Pet Rock เปลี่ยนก้อนหินหลังบ้าน ให้กลายเป็น ‘สัตว์เลี้ยง’

เชื่อกันหรือไม่คะว่า ก้อนหินในสนามหลังบ้านจะสร้างกำไรได้กว่า 150 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ฟังไม่ผิดค่ะ กว่า 150 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

วันนี้ยกเรื่องราวของคุณGary Dahl ผู้ชายที่เปลี่ยนจาก ‘สิ่งของไร้มูลค่า’ ให้ทำกำไรได้มากถึงกว่า 150 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เขาทำได้อย่างไร? ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักเจ้า Pet Rock ให้มากขึ้นกันก่อน

จุดเริ่มต้นของ Pet Rock ก้อนหินสัตว์เลี้ยง ที่เกิดขึ้นจากมุกตลกในวงเหล้าของคุณแกรี ดาห์ล (Gary Dahl) และได้เกิดบทสนทนาเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงขึ้น และโดยส่วนใหญ่จะเห็นตรงกันว่า การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงสักตัวต้องมีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ไม่ว่าจะค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาล หรือต้องคอยกังวลใจเวลาไม่เจ้าของไม่อยู่บ้าน คุณดาห์ล เลยพูดขึ้นในวงสนทนาว่า ‘ตัวเขาเองก็มีสัตว์เลี้ยงเช่นกัน แล้วมันก็เลี้ยงง่ายมากๆ ไม่เคยเรียกร้องให้สนใจ หรือเสียค่าดูแลอะไรเลย เพราะสัตว์เลี้ยงของเขาคือ “ก้อนหิน” นั่นเอง’ แล้วทุกคนในวงสนทนาก็ขำ ในสัตว์เลี้ยงของเขา

แต่จุดนั้นเองทำให้คุณดาห์ล เก็บสิ่งนั้นมาคิดและต่อยอด และประกอบกับการที่เขาเองอยู่ในแวดวงของโฆษณา และคิดว่าเขาต้องทำให้คนสนใจเจ้า “ก้อนหิน” อันนี้ได้แน่ๆ และมันก็เป็นไปอย่างนั้นจริงๆ เขาเริ่มพัฒนาเจ้า ‘Pet Rock’ โดนเริ่มจากการเพิ่มมูลค่าด้วยการหาบรรจุภัณฑ์ที่เปรียบเสมือนกล่องใส่สัตว์เลี้ยงจริงๆ มีการเจาะรูที่กล่องเพื่อให้น้องหายใจได้สะดวก พื้นกล่องปูด้วยฟาง หรือกระดาษลูกฟูกให้ดูเหมือน เตียงที่นุ่นสบายให้สัตว์เลี้ยง และอีกส่วนสำคัญคุณดาห์ล ยังทำคู่มือของการเลี้ยงเจ้า ‘Pet Rock’ ขึ้นมาในเล่มจะเล่าถึงวิธีการเลี้ยงดู วิธีการฝึกสอน อุปนิสัยของแต่ละตัวเป็นอย่างไรอีกด้วย

เมื่อคุณดาห์ล ได้ทำการพัฒนาเจ้า ‘Pet Rock’ จนพอใจแล้ว เขาได้ทำการเปิดขายจริงโดยราคาเริ่มต้น 3.95 ดอลลาร์ (100 กว่าบาท) และทำการเปิดขายที่ในแรกงาน San Francisco Gifts Show และได้รับผลตอบรับที่ดีมาก เป็นที่โด่งดังขึ้นในชั่วพริบตา จนมีนิตยสารเขียนถึง ‘Pet Rock’ และยังมีรายการโทรทัศน์ชื่อดังในยุคนั้นอย่าง Johnny Carson TV Show นำเรื่อง ‘Pet Rock’ ไปพูดถึงในรายการอีกด้วย ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนที่สำคัญของ ‘Pet Rock’ เลยก็ว่าได้

และอีกหนึ่งสถิติที่น่าสนใจในช่วงเทศกาลคริสต์มาสเจ้า ‘Pet Rock’ ทำยอดขายได้มากกว่า 10,000 กล่องต่อวัน ซึ่งสร้างรายได้ให้กับคุณดาห์ลถึงวันละ 1,500,000 บาท! กันเลยทีเดียวค่ะ และนอกจากการทำกำไรแล้วนั้น เขายังสามารถหาผู้ร่วมลงทุนได้จากการทำธุรกิจ ‘Pet Rock’ นี้ได้อีกด้วย และยังสามารถทำกำไรได้ต่อเนื่องถึง 10 เท่าของการลงทุนไป

แต่แล้วเมื่อผ่านไประยะหนึ่งกระแสของน้องก้อนหิน หรือเจ้า ‘Pet Rock’ ก็ค่อยๆลางหายไป ถึงแม้คุณดาห์ลจะพยายามที่จะขยายธุรกิจของเขาไปในหลายๆรูปแบบมากยิ่งขึ้น แต่ต้องยอมแพ้และทำการยุติการขายของเจ้า ‘Pet Rock’ ลง แต่กระนั้นเขาก็ได้กำไรไปจาก‘Pet Rock’ ไม่น้อยเลยทีเดียว

ขอขอบคุณรูปภาพจาก: www.amazon.com

หลายท่านอาจสงสัยว่าทำไมในAmazon ยังมีขายอยู่ นั่นเพราะตอนนี้ลิขสิทธิ์ ‘Pet Rock’ ได้ไปตกอยู่ที่บริษัท Rosebud Entertainment เป็นผู้ดูแลเจ้า ‘Pet Rock’ นี้อยู่นั่นเอง

เราได้อะไรบ้างจากบทเรียนของ ‘Pet Rock’?
การเพิ่มมูลค่าของสิ่งของด้วยการใส่ ‘Story’ และให้ความสำคัญกับสิ่งของนั้นๆไม่ว่าจะด้วยการเล่าที่มาให้ดูมีความสำคัญมากขึ้นกว่าเดิม อาทิเช่น หินก้อนนี้มาจากชายหาด Rosarito ของเม็กซิโก ไม่ใช่หินทั่วๆไปจากสวนหลังบ้าน การใส่อุปนิสัยของแต่ละตัวลงไป ทำให้ผู้ซื้อรู้สึกตามไปกับเรื่องราวของเจ้า Pet Rock ไปด้วย และยิ่งเพิ่มในส่วนของคู่มือในการเลี้ยงดู การฝึกสอนเปรียบเสมือนสัตว์เลี้ยงจริงๆ ยิ่งเข้ามาเพิ่มคุณค่า ให้กับตัวผลิตภัณฑ์มากยิ่งขึ้นไปอีก มูลค่าของสินค้าอาจจะดูไม่มาก แต่คุณค่าของสินค้านั้นจำเป็นมากกว่า

จากเรื่องราวทั้งหมดของคุณดาห์ล ใครจะไปเชื่อว่าแค่ ’ก้อนหิน’ จะกลายมาเป็นสินค้าที่ทำกำไรได้มากถึง กว่า 150 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเพียงแค่ระยะเวลาสั้น ต้องยอมรับกันตรงๆ เลยค่ะว่าคุณดาห์ล เป็นอีกคนที่เป็นคนที่มีจินตนาการ และมีความคิดสร้างสรรค์มากๆ เขาสามารถชักจูงและทำให้คนเชื่อได้จริงๆว่าเจ้าก้อนหิน 1 ก้อนนั้นเปรียบเสมือนเป็น “สัตว์เลี้ยง” ได้จริงๆ สุดท้ายนี้หวังว่าเรื่องราวของคุณดาห์ลในวันนี้จะสามารถเป็นแนวคิด ไอเดีย ในการเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจของทุกๆคนได้นะคะ