เจาะลึกประเด็นที่คนไทยให้ความสนใจกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโอไมครอน
เป็นเวลานานกว่า 2 ปีกว่าแล้วที่ไวรัสโควิดเข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตทุกคน พอสถานการณ์กำลังจะดีขึ้น เจ้าไวรัสดันกลายพันธุ์ใหม่เรื่อย ๆ จนล่าสุดคือสายพันธุ์โอไมครอน (Omicron) ที่สามารถแพร่ระบาดได้เร็วกว่าสายพันธุ์เดลต้าถึงหลายเท่า ทำให้วัคซีนเพียงแค่ 2 เข็มก็ยังไม่พอ ต้องไป 3 – 4 เข็มกันแล้ว ซึ่งตอนนี้สถานการณ์การระบาดในไทยเริ่มมียอดผู้ติดเชื้อสูงขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งทำให้คนไทยกังวลหนักขึ้นกว่าเดิม
คนไทยส่วนใหญ่เลือกที่จะออกมาพูดกันในโลกออนไลน์มากขึ้นเรื่อย ๆ จากสถานการณ์การแพร่ระบาด ทาง Real Smart ได้ใช้ Social Listening Tools เพื่อดูมุมมอง ความคิดเห็น และความรู้สึกของคนไทยในโลกออนไลน์กับสถานการณ์แบบนี้ ด้วย Data เหล่านี้เราอาจจะได้เห็นอะไรใหม่ ๆ ที่คาดไม่ถึงกันเลยทีเดียว ว่าแล้วมาเริ่มกันเลย
เริ่มจาก Timeline ตั้งแต่มกราคม 2565 ช่วงหลังปีใหม่ที่การแพร่ระบาดเริ่มสูงขึ้น
เพียงแค่วันแรกของปี 2565 ตัวเลขของผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คนไทยเริ่มหันมาพูดถึงและติดตามสถานการณ์นี้โดยทันทีจะเห็นได้ว่ากราฟดีดตัวขึ้นสูงในวันที่ 2 มกราคม 2565 มี Twitter ส่วนตัวได้ tweet ถึงอาการของโควิดโอไมครอนที่ไม่ได้เบาอย่างที่คิดทั้งอาการ การแพร่ระบาดที่ง่ายมาก ทำให้มีคน Retweet และ Quote tweet สูง ต่อมาในวันที่ 3 มกราคม 2565 Facebook page : สำนักข่าว ‘ไทยรัฐนิวส์โชว์’ โพสต์ข่าวคลัสเตอร์ใหญ่ในจังหวัดอุบลฯ พบผู้ติดเชื้อกว่า 500 คน รวมถึงมี Twitter ส่วนตัวออกมา tweet ว่าประเทศไทยนั้นพบผู้ติดเชื้อโควิดโอไมครอน 1,780 ราย มากที่สุดในเอเชีย
หลังจากนั้นกราฟค่อย ๆ ลงซึ่งในวันที่ 5 มกราคม 2565 Facebook page : ‘คมชัดลึก’ โพสต์จังหวัดที่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่กว่า 55 จังหวัด ซึ่งยอดผู้ติดเชื้อโอไมครอนเพิ่มขึ้น 20.92% แต่เดลต้ายังคงอยู่ที่ 78.91% พบผู้ติดเชื้อได้มากที่สุดในพื้นที่ กทม. ในวันที่ 7 มกราคม 2565 Twitter ส่วนตัวได้ tweet ถึงสิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือการทำช่องทางเข้าระบบ Home Isolation ของรัฐก่อนที่จะสายเกินไปจนทำให้ระบบสาธารณสุขล่มอีก และวันที่ 8 มกราคม 2565 Twitter ส่วนตัว tweet ว่าสหรัฐฯ พบว่า Omicron จะถูกพบในลำคอ และน้ำลาย ก่อนที่จะพบในโพรงจมูก สามารถใช้ Saliva ตรวจได้เลย ทำให้มีคน retweet และ Quote tweet สูง
วันที่ 9 มกราคม 2565 Facebook page : ‘Voice TV’ โพสต์ข่าวประเทศไซปรัสที่ออกมายืนยันว่าพบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ ‘เดลตาครอน’ ที่เกิดจากการผสมระหว่าง ‘โอไมครอน’และ ‘เดลต้า’ ยิ่งทำให้คนที่ได้เห็นข่าวยิ่งเป็นกังวลมากขึ้นไปอีกว่ามันจะกลายพันธุ์ไปถึงเมื่อไหร่ หลังจากนั้นกราฟเริ่มลดลงเรื่อย ๆ จนในวันที่ 12 มกราคม 2565 Facebook page : Off Chainon ออกมาโพสต์ว่า โควิดโอไมครอนสามารถหายเองได้ภายใน 5 วัน จากข้อมูลของ นพ.มนูญ ลีเชวงวงษ์ แพทย์เฉพาะทางโรคระบบทางเดินหายใจ
ต่อมาเรามาดูความรู้สึก (Sentiment) โดยรวมของคนไทยในโลกออนไลน์เกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโอไมครอนกัน
Positive sentiment (ความเห็นเชิงบวก) 7% บอกว่าเราต้องป้องกันตัวเองเสมอเมื่อออกไปสถานที่ต่าง ๆ สวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา และมองว่ารัฐบาลดูแลประชาชนเต็มที่มาก ๆ รวมถึงเป็นกำลังใจในทีมแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ทุกคน
Neutral Sentiment (ความเห็นเชิงทั่วไป) 32% มองว่าเราต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น หากติดขึ้นมากลัวว่าจะไม่แสดงอาการแล้วไปแพร่เชื้อให้คนอื่นยิ่งทำให้เกิดการแพร่ระบาดหนัก อาจส่งผลให้เตียงตามโรงพยาบาลต่าง ๆ ไม่เพียงพอ
Negative Sentiment (ความเห็นเชิงลบ) 61% มองว่าถ้ารัฐบาลไม่เปิดประเทศ โอไมครอนก็ไม่เข้ามาในไทยหรอก พอเป็นแบบนี้ประชาชนก็ค้าขายลำบาก รายได้ลด ส่งผลต่อภาพรวมของเศรษฐกิจมากขึ้น ยิ่งการแพร่ระบาดที่สูงขึ้นผู้ติดเชื้อที่ต้องการเตียงก็ไม่สามารถติดต่อหน่วยงานได้ ความช่วยเหลือก็ล่าช้า รัฐบาลควรหาวิธีแก้ปัญหาให้ชัดเจนกว่านี้
ต่อมาเราจะมาเจาะลึกในประเด็นที่คนไทยให้ความสนใจจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโอไมครอน
“ศูนย์บริการผู้ติดเชื้อโอไมครอนในประเทศไทย”มี 10% ที่ออกมาให้กำลังใจทีมแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือผู้ติดเชื้อถึงแม้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเยอะขึ้น แต่ยังสามารถบริหารจัดการได้ดี ส่วน 34% มองว่าต้องมีเตียงสำรองในโรงพยาบาลเพื่อดูแลผู้ติดเชื้อ แต่ส่วนใหญ่ที่มีสูงถึง 56% มองว่าโรงพยาบาลสนามให้เพียงพอต่อประชาชน และความช่วยเหลือนั้นล่าช้า รวมถึงไม่สามารถติดต่อโรงพยาบาลได้
“การรับมือโอไมครอนในประเทศไทย”มีอยู่ 12% มองว่ารัฐบาลมีการรับมือการแพร่ระบาดระลอกนี้เร็วกว่าเดิม และเป็นกำลังใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์ทุกคน อีก 29% บอกว่าประชาชนเตรียมบูสต์วัคซีนเข็มที่ 3 เลย รวมถึงอยากให้รัฐบาลเพิ่มมาตรการรองรับให้มากกว่านี้ แต่ส่วนใหญ่กว่า 59% ตำหนิรัฐบาลที่บริหารจัดการการระบาดระลอกนี้ไม่ดี ช่วยหยุดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในไทยทันที รวมถึงราคาชุดตรวจ ATK แพงมาก
Top 3 on Facebook Engagement
Facebook ยังคงเป็นช่องทางหลักในการอัปเดตสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าทั้ง 2 Facebook page ที่รับ engagement สูงนั้นเพราะว่าเป็นสำนักข่าวชื่อดังที่รายงานข่าวได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับมีผู้ติดตามใน Facebook สูงอยู่แล้ว
Top 3 on YouTube Engagement
ปัจจุบันคนไทยหันมาเสพข่าว หรือติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ ผ่าน YouTube จึงจะเห็นได้ว่า YouTube Channel ทั้ง 3 ช่องนั้นเป็นสำนักข่าวชื่อดังระดับประเทศที่ออกมานำเสนอข่าวสถานการณ์การแพร่ระบาดของโอไมครอนอยู่ตลอดจึงทำให้ได้รับ engagement ที่สูงเป็น 3 อันดับแรก
Top #Hashtag ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโอไมครอนนั้นมีอยู่มากมาย แต่ที่เห็นได้ชัดเจนจะเป็น #โอมิครอน #ชุดตรวจโควิดด้วยตัวเอง #โควิด19 และอื่น ๆ หากใครสนใจสามารถไปตามดูใน Hashtag เกิดขึ้นได้เช่นกัน
สถานการณ์การแพร่ระบาดในตอนนี้ยังคงน่าเป็นห่วง เพราะเจ้าสายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน แล้วแต่ใครจะเรียกนั้นแพร่ระบาดได้เร็วมาก จึงอยากให้ทุกคนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและป้องกันตัวเองอยู่เสมอ ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์สม่ำเสมอ เลี่ยงสถานที่ที่มีคนเยอะ หลายครั้งที่ผ่านมาเราทุกคนสามารถก้าวผ่านมาได้ ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งเช่นกันที่เราจะผ่านมันไปได้ด้วยดี
หากใครสนใจเทรนด์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น อย่าลืมกดติดตาม Real Smart กันไว้นะ เพราะข้อมูลดี ๆ ต้องที่ Real Smart เท่านั้น